บทที่ 6

มีผลก็ต้องมีเหตุ

    ถ้าเราโยนลูกบอลจากตึกสูงจะเกิดอะไรขึ้น?  ลูกบอลจะตกลงถึงพื้น ทำไม?  เพราะกฎของการโน้มถ่วง  ในธรรมชาติมีกฎธรรมชาติเหมือนกับสังคมของมนุษย์มีกฎบางอย่างที่สำคัญในสังคมมนุษย์  มนุษย์ได้ตั้งกฎขึ้น  คำถามคือธรรมชาติมาจากไหน?  คำตอบก็คือ พระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎธรรมชาติขึ้น  นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบและศึกษากฎเหล่านั้น  นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นผู้ตั้งกฎขึ้น  พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพที่จะตั้งกฎได้ "กฎธรรมชาติคืออะไร?"  ในวิทยาศาสตร์  "กฎ" คือ คำอธิบายของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ พูดให้เข้าใจเสียใหม่ง่าย ๆ ว่าอะไรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีข้อยกเว้นนั่นแหละคือ "กฎ"

วิทยาศาสตร์และกฎของเหตุผล
    กฎที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบรรดากฎวิทยาศาสตร์ก็คือ กฎของเหตุและผล  กฎนี้มีใจความว่า สสารทุกอย่างที่เป็นผลย่อมต้องมีเหตุที่คู่ควรก่อนหน้าที่มันจะเกิดขึ้น  พิจารณาดูตัวอย่างดังต่อไปนี้


https://en.wikipedia.org/wiki/Archaeoastronomy_and_Stonehenge
     หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ถูกเรียกให้ไปที่ประเทศอังกฤษ  เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความมีระเบียบของก้อนหินที่วางไว้อย่างเป็นระบบ  ก้อนหินที่ได้ถูกค้นพบต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่า Stonehenge  เมื่อการศึกษาก้อนหินนี้ก้าวหน้าเป็นที่แน่ชัดว่า ก้อนหินที่วางเรียงรายอย่างมีระบบระเบียบถูกออกแบบไว้เพื่อพยากรณ์ล่วงหน้าโดยอาศัยดวงดาวเป็นหลัก  คำถามจึงเกิดขึ้นว่าก้อนหินใหญ่มหึมาได้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่ไกล ๆ มาถึงตรงจุดนั้นได้อย่างไร?  ก้อนหินที่วางเรียงรายกันนั้นสามารถหาคำตอบได้อย่างไร?  และคำถามอื่น ๆ อีกมากที่ยังไม่ได้รับคำตอบ  แต่มีสิ่งที่เด่นชัดก็คือต้นเหตุของ Stonehenge ออกแบบโดยมนุษย์ผู้มีสติปัญญา  บางคนอาจจะกล่าวว่า Stonehenge ไม่มีมนุษย์ผู้ใดออกแบบสร้างมันขึ้นมา  Stonehenge อาจจะเกิดขึ้นจากภูเขาที่ถล่มทลาย  หรืออาจจะเกิดขึ้นจากลมพายุที่กระหน่ำอย่างรุนแรงทำให้เกิดเป็นก้อนหิน Stonehenge ขึ้นมา  ใครอยากจะเชื่อความคิดโง่ ๆ อย่างนั้น  ไม่มีใครยอมรับว่า Stonehenge "เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ"  แน่นอน Stonehenge สะท้อนให้เห็นแบบอันซับซ้อน  แสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน  แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการต้องการให้เราเชื่อว่า จักรวาลและสิ่งมีชีวิตอันสลับซับซ้อนของโลกนี้ "เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ"  จากขบวนการของธรรมชาติอย่างเดียว  การสรุปดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะ "ต้นเหตุ" ที่บอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะก่อให้เกิดผล

พระคัมภีร์กับกฎของเหตุและผล
    พระคัมภีร์มีตัวอย่างเกี่ยวกับทัศนะของเหตุและผลเพื่อสำแดงให้เห็นว่า เมื่อเราพิจารณาว่ามีผลของบางสิ่งบางอย่างสามารถย้อนไปถึงต้นเหตุว่าจะต้องมีต้นเหตุ  ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายกล่าวว่า "ด้วยว่าตึกทุกหลังคงมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า" (เฮ็บราย 3.4)  สามัญสำนึกบอกเราว่าบ้านไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้  เพราะฉะนั้นบ้านเป็นผลของบางอย่างซึ่งจะต้องมีต้นเหตุที่คู่ควรกับผลที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ถ้ามีบ้านก็ต้องมีผู้สร้างบ้านก่อนที่จะมีบ้าน  อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ในหนังสือโรม 1.20  เกี่ยวกับต้นเหตุของการเกิดจักรวาลใจความว่า  "ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและสัมภวะของพระองค์ก็ทรงปรากฎชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก  เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้" 

    อัครสาวกเปาโลใช้เหตุผลที่ถูกต้องโดยกฎของเหตุและผล  และท่านต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่าจักรวาลก็เหมือนกับบ้านเป็นผลของการออกแบบสร้าง  เพราะฉะนั้นมันต้องมีเหตุที่คู่ควร  ที่ทำให้มันเกิดขึ้น  เพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นแบบมันจะต้องมีผู้ออกแบบ  เพราะจักรวาลสำแดงให้เห็นสติปัญญาแสดงว่าผู้ออกแบบจะต้องมีสติปัญญาแน่นอน  จักรวาลสำแดงให้เห็นชีวิตเพราะฉะนั้นผู้ออกแบบจะต้องดำรงชีวิต เพราะชีวิตสำแดงให้เห็นศีลธรรมแสดงว่าผู้ออกแบบเป็นผู้มีศีลธรรม  แน่นอนผู้ออกแบบก็คือ พระเจ้า  อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้ทรงเป็นต้นเหตุเบื้องต้นที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น  พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นกฎของเหตุและผลอย่างชัดเจน

    สรุป : ประเด็นสำคัญของกฎ "เหตุและผล"  ก็คือสสารและชีวิตทุกอย่างที่เห็นเป็นผลของบางสิ่ง  แสดงว่าต้องมีเหตุที่สมเหตุสมผลก่อนที่มันจะเกิดขึ้น  ชีวิตในจักรวาลอันมหัศจรรย์ได้มาที่นี่แล้ว  สติปัญญาอยู่ที่นี่แล้ว  ศีลธรรมอยู่ที่นี่แล้ว  เหตุเบื้องต้นในการเกิดของทุกสิ่งคืออะไร?  เพราะผลจะมาก่อนเหตุไม่ได้ หรือผลจะใหญ่กว่าเหตุไม่ได้  ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ต้นเหตุของชีวิตคือผู้ที่มีสติปัญญา  พระคัมภีร์ในเยเนซิศ 1.1 บันทึกไว้ว่า "เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน"  พระคัมภีร์ได้บอกต้นเหตุที่มาของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต

ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1Z-NcjYcDCigDYTdzqlzKN-gQwrtoKuF6sihfGDGVC60/viewform